Facebook
Line Official Account
ไลฟ์สไตล์
12 มกราคม 2566
Once In A Lifetime Journey By กฤต กรวยกิตานนท์ (3)
ทริปขี่เวสป้าไปดูนกจากทะเลสู่ภูเขา (กรุงเทพฯ - เพชรบุรี - เชียงใหม่) ตอนที่ 3
นกยูงไทยที่บ้านโฮ่ง
บ่ายอ่อน ๆ ผมมาถึงเขตห้ามล่าสัตว์ป่า เพื่อตามหานกยูงไทย (Green Peafowl) ในธรรมชาติ
ผมมาถึงด้วยการต้อนรับอย่างดีจากเจ้าหน้าที่ แนะนำจุดต่าง ๆ ตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับนกยูง ผมเดินไปตามจุดที่เจ้าหน้าที่บอก มีรูปปั้นนกยูงไซซ์เท่าตัวจริงตั้งอยู่บนขอนไม้ แต่เผลอแป๊บเดียวหันมาอีกที มันก็เปลี่ยนท่า อ่าวเห้ย! นี่มันนกยูงจริง ๆ เลยนิหว่า สอบถามเจ้าหน้าที่เพิ่มเติมคือ มันไม่ค่อยกลัวคนเท่าไร เหมือนชินแล้ว ผมเลยเดินขึ้นไปบนเนินแล้วถ่ายรูปนกยูง แต่มันก็คงสงสัยว่าผมทำอะไร
มันเดินดุ่ย ๆ ขึ้นมานั่งเก้าอี้ข้างผม แล้วมองหน้าผมเฉยเลย
เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า นกยูงที่เห็นเป็นตัวผู้ กำลังรักษาอาณาเขตของมันอยู่ ตัวผู้แต่ละตัวจะมีอาณาเขตที่ต้องปกป้อง ให้ใครรุกรานไม่ได้ ดังนั้น มันจึงหากินอยู่แถวที่ของมัน ส่วนตัวเมียมักจะอยู่กันเป็นกลุ่มและหากินไปทั่ว บางทีมีรายงานว่ามันไปโผล่ตรงสี่แยกในตัวอำเภอ จนต้องนำรถกระบะไปขนกลับมาในที่ที่ปลอดภัย อย่างที่ว่า มันเป็นนกในธรรมชาติ ก็ใช้ชีวิตแบบอิสระ อยากทำอะไรก็ทำ เพราะมันไม่ได้อยู่ในกรงเหมือนที่เราเห็นในสวนสัตว์
ผมนั่งรอให้ตัวผู้ที่นั่งข้าง ๆ รำแพนหาง แต่วันนี้เหมือนตัวเมียจะออกไปหากินไกลมาก แล้วมันอาจจะติดหนุ่ม ๆ แถวนั้น เพื่อไม่ให้ผมต้องรอเก้อ ในที่สุดมันก็รำแพนหางแล้วหันมาทางผม ไม่สนใจเพื่อนใหม่ของมันเลย จะจีบหญิงอย่างเดียว อย่างน้อยผมรอจังหวะมันหันข้าง ก็ได้ภาพมาในระดับที่พอใจ
ผมนั่งพัก ยืนพัก เดินพัก จนพร้อมไปต่อ
คืนนี้ผมมีแผนที่จะไปนอนที่อำเภอจอมทอง เพื่อเปลี่ยนแผนใหม่ในการเดินทาง
จุดสูงสุดแดนสยาม
ความเป็นจริง ผมไม่กล้าตั้งดอยอินทนนท์เป็นจุดหมายในการดูนก ผมกลัวการขึ้นดอย เพราะไม่คุ้นชินรถใหม่ แต่จริง ๆ ระยะทางกว่า 1,000 กิโลเมตร น่าจะมากกว่าระยะทางที่ผมขี่มอเตอร์ไซค์มาทั้งชีวิต คงจะเป็นเหตุผลให้ผมตัดสินใจขึ้นดอยอินทนนท์ ซึ่งเป็นจุดสำคัญในการดูนก
เพราะยิ่งสูง ก็จะเจอนกที่อยู่บนระดับความสูงนั้น ๆ ซึ่งตลอดทั้งทริปผมได้ไต่ระดับมาตั้งแต่ความสูงระดับน้ำทะเล อีกทั้งดอยอินทนนท์ยังมีสภาพเป็นป่าดิบเขาและป่าดิบชื้น เป็นป่าอีกประเภทที่นกอยู่อาศัย และการดูนกในป่าประเภทนี้เป็นสิ่งที่ผมต้องพิชิตให้ได้ในทริปนี้
วันนี้ผมตื่นสายเพราะต้องการนอนให้เต็มที่ เติมน้ำมันจนปริ่มถัง พร้อมออกเดินทาง
ขาขึ้นผมไม่กังวลเท่าไร ผมไว้ใจสหายเวสป้า 150cc ที่ผ่าน (อากาศ) ร้อน-หนาวมา 5 วัน 4 คืน ซึ่งเป็นไปตามนั้น ขาขึ้นผมใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมงในการขึ้นจากแยกจอมทองจนถึงจุดสูงสุดแดนสยาม พอขึ้นมาก็เริ่มเข้าสู่โหมดดูนกอีกครั้ง ผมแวะไปทักทายนกพิราบป่าเขาสูง (Ashy Wood Pigeon) มาทีไรต้องเจอทุกครั้งหลังห้องน้ำชาย ถ้าใครอ่านถึงตรงนี้แล้วไปเที่ยวดอยอินทนนท์ ลองไปส่อง ๆ ดูนะครับ
นกพิราบป่าเขาสูง (Ashy Wood Pigeon)
แต่วันนี้เป็นวันหยุดยาว คนเยอะมาก เยอะจนนกกินปลียาวคอฟ้า (Mrs.Gould’s Sunbird) ที่ควรจะอยู่ตรงป้ายบอกอุณหภูมิไม่โผล่มาสักตัว ผมเริ่มเดินดูนกที่อ่างกา ซึ่งตอนสาย ๆ ไม่มีคนลงมาเดินเลย ผมใช้จังหวะนี้ฟังเสียงนก แล้วส่องหานกประจำถิ่นต่าง ๆ แล้วก็เจอนกกินปลีขาประจำทั้ง 2 ชนิด นกกินปลียาวคอฟ้า (Mrs.Gould’s Sunbird) และนกกินปลีหางยาวเขียว (Green-tailed Sunbird) ที่พบเจอแค่ที่นี่ที่เดียวบนโลก ได้ยินเสียงนกจู๋เต้นจิ๋ว (Pygmy Cupwing) ใช่ครับมันชื่อนี้จริง ๆ ร้องด้วยเสียงน่าจดจำ 3 พยางค์ แต่ไม่เห็นตัว เพราะชอบมุดไปมุดมาไม่อยู่กับที่ ผมยังไม่เคยได้ภาพมันชัด ๆ เลย
นกกินปลียาวคอฟ้า (Mrs.Gould’s Sunbird)
ใช้เวลาอยู่ตรงนี้พอสมควรจนคนเริ่มซา นกก็เช่นกัน ผมเลยตัดสินใจไปดูนกบริเวณด้านล่างที่ต้องเริ่มลงเขาแล้ว ผมสูดหายใจเข้าลึก ๆ ทำตามทฤษฎีเอาไว้ ไม่ไหวก็จอดพัก หาจังหวะในการลงดี ๆ ไม่เร็วมากจนอันตราย แล้วก็ไม่ช้าจนรถข้างหลังมาจี้ตูด ตลอดทางลงมีป้ายใช้เกียร์ต่ำตลอด
แต่เวสป้าเป็นเกียร์ออโต้ ซึ่งจริง ๆ ไม่ได้อันตรายเหมือนออโต้สมัยก่อน
ผลปรากฏว่าจริง ๆ ไม่ได้ยากอย่างที่คิด เพราะรถมีระบบ Engine Brake ที่คอยหน่วงความเร็วเอาไว้ตามรอบเครื่องยนต์ ไม่ได้ปล่อยไหลตามแรงโน้มถ่วงอย่างเดียว และระบบ ABS ก็ทำให้หายกังวลเรื่องเบรกล็อก ผมค่อย ๆ ไหลลงมา ใช้เบรกหลังสลับกับเบรกหน้า จอดทุกจุดเพื่อถนอมเบรก
ผมค่อย ๆ ตุเลง ๆ ลงมา จนมาถึงครึ่งทาง เลยแวะไปดูนกอีกจุดหนึ่ง พอเลี้ยวเข้าไปจากทางหลัก ไม่นาน นกมากมายออกมาร้องต้อนรับผม ผมแค่จอดรถแล้วหยิบกล้องมาถ่ายสบาย ๆ เลย
นกเปลือกไม้ (Hume's Treecreeper)
นกเสือแมลงปีกแดง (Blyth's Shrike-babbler)
นกปีกลายตาขาว (Spectacled Barwing)
เป็นการดูนกที่ชิลล์มาก ๆ อากาศเย็นสบาย ผมใช้เวลานานเกือบ 2 ชั่วโมงจนนกหนีไปหมด สงสัยเพราะเบื่อผม ผมเลยขับรถกลับ ซึ่งระหว่างทางก็รักษาความเร็วแบบที่ทำมาตอนลงจากยอดดอย เผลอแป๊บเดียวก็มาถึงตีนดอย ผมหายใจได้เต็มปอดอีกครั้ง ก่อนจะขับต่อไปยังจังหวัดลำพูน
พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายของการเดินทาง ผมกำลังจะไปดูนกทุ่งในตอนเช้าที่ทุ่งนาบ้านธิ ซึ่งผมก็แอบแวะทุ่งนาบ้านใหม่ร่องแกลบ เพื่อใช้เวลาตอนเย็นให้คุ้มค่า เผื่อจะได้นกใหม่ในทริปนี้
ดูนกวันสุดท้าย
ในเช้าที่หมอกลงปกคลุมถนน ผมมุ่งหน้าไปยังทุ่งนา อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน แต่เช้า เมื่อมาถึงก็พบว่าสภาพอากาศไม่เหมาะสมต่อการดูนกเพราะหมอกลงหนา ผมแทบไม่เห็นถนนข้างหน้า จึงแวะเดินตลาดในตัวอำเภอเพื่อฆ่าเวลา จนแดดเริ่มออก ผมจึงย้อนกลับไปที่ทุ่งนาเพื่อส่องนก
การดูนกที่ทุ่งนาคล้าย ๆ กับวันแรกที่บ้านปากทะเล นกมักจะอยู่นิ่ง ๆ เกาะอยู่บนปลายข้าว แต่จะอยู่ไกล ต้องค่อย ๆ กวาดสายตาดูการเคลื่อนไหวของมัน ซึ่งตัวแรกที่เจอเป็นนกทุ่งที่ผมอยากเจอมาสักพัก มีฉายาว่า ‘สตรอว์เบอรีบินได้’ นั่นคือ นกกระติ๊ดแดง (Red Avadavat) และนกทุ่งที่พบเจอได้ทั่วไป เช่น นกยอดหญ้าหัวดำ (Amur Stonechat)
ผมใช้เวลาอยู่ตรงนี้ไม่นานมาก พอรู้ตัวว่านกที่ผมอยากเจออีกตัวหนึ่งไม่ได้อยู่ที่นี่เมื่อหลายวันก่อนหน้านี้ แต่เป็นที่ที่เมื่อวานผมไปนั่งดูนกมาต่างหาก! ผมจึงตัดสินใจเลี้ยวรถกลับเพราะอากาศเริ่มร้อนแล้ว การดูนกในช่วงเวลาร้อนจัดค่อนข้างเป็นอุปสรรค ยิ่งนกอยู่ไกล แสงก็จะถูกหักเหมากขึ้น
ผมยังไม่ทันสตาร์ตรถ ฟ้าก็เปิดเต็มที่ ทันใดนั้น เหยี่ยวผึ้ง (Oriental Honey Buzzard) ก็บินออกมาต่ำมาก คิดว่าน่าจะออกมาหาอาหารกิน ผมรีบปลดกระเป๋า หยิบกล้องที่เพิ่งเก็บไปขึ้นมาประกอบและรัวชัตเตอร์ทันที ถ่ายจนมันบินไปไกลลับสายตา ก็ค่อยเก็บกล้องแล้วรีบออกเดินทางต่อ
อากาศเริ่มกลับมาร้อนอีกครั้ง ในวันที่ท้องฟ้าไร้เมฆ ใช้เวลาขี่ไม่นานบนเส้นทางสายชนบทก็ถึงทุ่งนาบ้านใหม่ร่องแกลบ ผมเจอนักถ่ายภาพนก 2-3 คนมารอถ่ายนกอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว
ผมเข้าไปทักทาย พร้อมให้พี่ ๆ แนะนำว่าเจอนกอะไรที่น่าสนใจบ้าง ซึ่งมีนกอีกตัวที่ผมอยากเจอมานานแล้วแต่ไม่ได้เจอสักที คือ นกปากงอน (Pied Avocet) ประมาณ 8 ตัวท่ามกลางนกตีนเทียน (Black-winged Stilt) ที่กำลังหากินอยู่ในพื้นนาที่ชาวบ้านกำลังทยอยปลูกข้าวอีกครั้ง
ถัดไปไม่กี่แปลงก็เจอนกเป็ดพม่า (Ruddy Shelduck) ฝูงหนึ่งกำลังยืนเป็นบอยแบนด์ ผมเลยค่อย ๆ ย่อตัวเดินเข้าไปใกล้ให้ได้มากที่สุดเพื่อเก็บภาพ แต่ดันเผลอไปเหยียบกิ่งไม้เสียงดังจนมันตื่นตกใจบินหนีกันไปทั้งฝูง และเจอนกที่เห็นในรายงานกลุ่มเฟซบุ๊กอย่าง นกกระเรียนพันธุ์ยุโรป (Common Crane) แต่น่าเสียดายที่มันโผล่แค่หัวมาเพียงครู่เดียวเท่านั้น แล้วมุดลงไปหลบแดด
ผมเสร็จสิ้นการดูนกที่จังหวัดลำพูนช่วงบ่าย ๆ และมุ่งหน้าสู่อำเภอเมืองเชียงใหม่ด้วยระยะเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เป็นการจบทริปการเดินทางดูนกจากทะเลสู่ภูเขาอย่างเป็นทางการ
ตลอดระยะ 7 วัน ผมได้ฝึกฝนการตัดสินใจ อาจมีผิดพลาดบ้าง แต่โดยรวมแล้วถือว่าเกินความคาดหมายที่ตั้งเอาไว้มาก ผมเจอนกมากกว่า 200 ชนิด ซึ่งไม่ได้คาดหวังตัวเลขเอาไว้แต่แรกอยู่แล้ว ถ้ามีเวลามากกว่านี้ก็อาจจะใช้เวลากับพื้นที่นั้น ๆ มากกว่านี้ เผื่อจะได้เจอนกเยอะขึ้น
ผมขับมาทั้งหมดระยะทางมากกว่า 1,400 กิโลเมตร หรือวันละไม่ต่ำกว่า 200 กิโลเมตร ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านทางตรง ผ่านทางเลี้ยว ผ่านมาหลายจังหวัด ขับจนหน้าดำไปหมด แต่ก็สนุกมากครับ
ผมสารภาพว่าสมัครโครงการนี้อย่างไม่คาดหวัง เพราะคิดว่าโอกาสที่จะติดน้อยมาก
แต่ตอนที่ผมได้รับอีเมลประกาศผลรับสมัคร ผมค่อนข้างตกใจและทำตัวไม่ถูก ผมคงจะรู้สึกพลาดมากถ้าไม่ได้ตอบตกลง และเริ่มออกเดินทางโดยแทบไม่มีเวลาในการเตรียมตัว
สุดท้ายนี้ ผมอยากฝากถึงผู้อ่านครับ ผมไม่ได้คาดหวังจะให้ทำตามการเดินทางของผม เช่น ขี่เวสป้าหลายพันกิโลไปดูนก ผมว่าแต่ละคนคงมีสิ่งที่อยากทำหรือสิ่งที่สนใจอยู่ แม้แต่ที่ที่อยากจะไป แต่อาจจะมีกำแพงความกลัวหรืออะไรก็ตามกั้นอยู่ เช่น ความกลัวของผมในการขี่ขึ้นดอยอินทนนท์
ลองให้เวลากับตัวเองได้ทำสิ่งที่เรารักดูครับ ผมว่ามันเป็น Once Journey In a Lifetime
เป็นสิ่งที่สักครั้งหนึ่งในชีวิตต้องได้ทำ อาจจะเป็นครั้งเดียวในชีวิตด้วยซ้ำ
ขอส่งต่อแรงบันดาลใจให้เพื่อนนักขี่และนักอ่านทุกท่านครับ
แชร์
Facebook
Line Official Account